ตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงตั้งแต่ มิ.ย. และทำจุดสูงสุดที่ช่วง กลาง ส.ค. จากปัจจัยนักลงทุนคาดว่า Fed จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้ทางกองทุนไม่ได้ไล่ซื้อหุ้นในช่วงดังกล่าว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐาน อย่างอัตราเงินเฟ้อและสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม

โดยตั้งแต่การประชุม Jackson Hole ประธานเฟดระบุชัดเจนว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและนานกว่าที่คาดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้มีผลกระทบต่อการเติบโตและภาคธุรกิจและครัวเรือน ตลาดคาดเพิ่มดอกเบี้ย 75 bps ในการประชุมครั้งถัดไป 20-21 ก.ย. ตลาดเริ่มปรับตัวลงแรง ทางกองทุนรอสะสมหุ้นที่ S&P500 ระดับ 3,600

 

หุ้นจีน : มีสะสมเพิ่มปัจจุบันสัดส่วน 26% จากปัจจัยการเปิดเมือง การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานทางเลือก เน้นลงทุนเพิ่มในธุรกิจที่สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้ดี ส่งผลให้มีมาร์จิ้นสูงขึ้น จะเติบโตก้าวกระโดดหากเศรษฐกิจภาพรวมกลับมาเติบโตได้

หุ้นไทย : สับเปลี่ยนออกจากกลุ่ม Telecom ไปกลุ่มประกันชีวิตและนิคมอุตสาหกรรม จากการมอง Yield ขาขึ้น กลุ่มประกันชีวิตจะได้ประโยชน์ กับ reopening theme

อาเซียน : มีการลงทุนในถ่านหินเพิ่มเข้าไป เพราะงบการเงินดี P/E ถูก

 

กลยุทธ์

ทยอยเข้าลงทุนระมัดระวัง สัดส่วนเงินสดรอลงทุนประมาณ 30% โดยจะเข้าลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ หาก S&P500 ปรับตัวลงถึงระดับดังกล่าว เน้นกลุ่ม Defensive อาทิ IT Services และหุ้นคุณภาพขนาดใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงและความผันผวน และ ทยอยเข้าจีนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย สวนทางกับสหรัฐฯ-ยุโรป และผลตอบแทนต่อความเสี่ยงน่าสนใจกว่าภูมิภาคอื่น

@Wealthrepublic